หน้าแรก


   


ที่มาภาพ : http://humananatomymodules.com/ image/34264ba0-943c-4fe1-9c96-1dd95a8bd22b.jpg

        ระบบหมุนเวียนโลหิตจะนำสารต่าง ๆ ส่งไปทั่วร่างกาย เช่น สารอาหาร ก๊าซต่าง ๆ เกลือแร่ ฮอร์โมน และรับของเสียส่งออกนอกร่างกายโดยลำเลียงไปตามเส้นเลือด 
อาหารที่เรากินเข้าไปเมื่ผ่านกระบวนการย่อยอาหารจได้อนุภาคที่เล็กที่สุดซึ่งสามาแพร่ผ่านเข้าสู่ผนังของลำไส้เล็กได้ จากนั้นจะแพร่เข้าสู่หลอดเลือดแล้วถูกนําไปยังส่วนต่างๆของร่างกาย



ภาพ1-การไหลเวียนโลหิต
ที่มาภาพ:http://www.krusarawut.net/wp/?author=273

            ระบบหมุนเวียนของเลือด เช่นเดียวกับก๊าซออกซิเจน ที่เมื่อถูกนำเข้าสู่ร่างกายแล้วจะถูกนําไปยังเซลล์ต่างๆของร่างกายโดยเม็ดเลือดแดงและก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เกิดจาก กระบวนการหายใจ จะถูกลําเลียงออกจากเซลล์ทางพลาสมา ซึ่งการหมุนเวียนของเลือดและการหมุนเวียนของก๊าซจะ เกิดควบคู่กันไป

ที่มา:https://docs.google.com/document/d/1ClmTOhDWT6RnjJL5KGW9jWW2CARt5vmuLr466mEGRKA/edit?hl=th

ความดันโลหิต

ความดันโลหิต (blood pressure) 



ภาพ7-การวัดความดันโลหิต
ที่มาภาพ:http://haamor.com/th/ความดันโลหิต


         ความดันเลือดในส่วนต่างๆ ของระบบการไหลเวียนไม่ เท่ากัน โดยทั่วไปความดันเลือดแดงที่ส่งจากหัวใจนั้นมีความดัน มากที่สุด ต่อจากนั้นจะค่อยๆ ลดลง จนถึงหลอดเลือดดำใหญ่ ที่จะเข้าหัวใจมีความดันน้อยที่สุด
         ความดันเลือดแดงมีลักษณะเป็นคลื่น (pulsatile) คือ สูงสุดขณะหัวใจบีบตัว และต่ำสุดขณะหัวใจคลายตัว แต่ต่อไป เมื่อถึงหลอดเลือดเล็กๆ ลักษณะเป็นคลื่นจะค่อยหมดไปทีละ น้อยเพราะความยืดหยุ่นและความต้านทานของหลอดเลือด
         การที่หลอดเลือดต้องมีความดันก็เพราะมีหน้าที่ต้อง นำเลือดที่ส่งออกจากหัวใจไปเลี้ยงร่างกาย ความดันเลือดแดง ในระบบการไหลเวียนทั่วกายสูงกว่าในระบบการไหลเวียนผ่าน ปอด (pulmonary circulation) ถึง 5 เท่า
         ความดันเลือดสูงสุดขณะหัวใจบีบตัว เรียกว่า ความดัน ซีสโตลิก (systolic pressure)
         ความดันเลือดต่ำสุดขณะหัวใจคลายตัว เรียกว่า ความดันไดอัสโตลิก (diastolic pressure)
         ความแตกต่างของความดันซีสโตลิก และไดอัสโตลิก เรียกว่า ความดันชีพจร (pulse pressure)
         ค่าเฉลี่ยของความดัน ซีสโตลิก และไดอัสโตลิกเรียกว่า ความดันเฉลี่ย (mean pressure) 
ตามปกติ ความดันซีสโตลิก : ความดันไดอัสโตลิก : ความดันชีพจร = 3:2:1
         ความดันเลือดโดยทั่วไปมักหมายถึง ความดันใน หลอดเลือดแดงของร่างกาย
 (systemic arterial pressure) ของหลอด เลือดแดงขนาดปานกลาง คือ หลอดเลือดแดงที่ต้นแขน (brachial artery)  ความดันเลือด ( blood pressure)หมายถึงความดันในหลอดเลือดแดงเป็นส่วนใหญ่เกิดจากบีบตัวของหัวใจ
ที่ดันเลือดให้ไหลไปตามหลอดเลือดความดันของหลอดเลือดแดงที่อยู่ใกล้หัวใจจะมีความดันสูงกว่าหลอดเลือดแดงที่อยู่ไกลหัวใจ ส่วนในหลอดเลือดดำจะมีความดันต่ำกว่าหลอดเลือดแดงเสมอความดันเลือดมีหน่วยวัดเป็นมิลลิเมตรปรอท (mmHg) เป็นตัวเลข ค่าคือ

1.ค่าความดันเลือดขณะหัวใจบีบตัว และค่าความดันเลือดขณะหัวใจคลายตัว เช่น 120/80
มิลลิเมตรปรอท
ค่าตัวเลข 120 แสดงค่าความดันเลือดขณะหัวใจบีบตัวให้เลือดออกจากหัวใจ
เรียกว่า ความดันระยะหัวใจบีบตัว (Systolic Pressure)
2.ส่วนตัวเลข 80 แสดงความดันเลือดขณะหัวใจคลายตัว เพื่อรับเลือดเข้าสู่หัวใจ
เรียกว่า ความดันระยะหัวใจคลายตัว (Diastolic Pressure)
     เครื่องมือวัดความดันเลือดเรียกว่า “ มาตรความดันเลือด จะใช้คู่กับสเตตโตสโคป (stetoscope)'' โดยจะวัด

ปัจจัยที่มีผลต่อความดันเลือด มีดังนี้

1. อายุ ผู้สูงอายุมีความดันเลือดสูงกว่าเด็ก
2. เพศ เพศชายมีความดันเลือดสูงกว่าเพศหญิง ยกเว้นเพศหญิงที่ใกล้หมดประจำเดือนจะมีความดันเลือดค่อนข้างสูง
3. ขนาดของร่างกาย คนที่มีร่างกายขนาดใหญ่มักมีความดันเลือดสูงกว่าคนที่มีร่างกายขนาดเล็ก
4. อารมณ์ ผู้ที่มีอารมณ์เครียด วิตกกังวล โกรธหรือตกใจง่ายทำให้ความดันเลือดสูงกว่าคนที่อารมณ์ปกติ
5. คนทำงานหนักและการออกกำลังกาย ทำให้มีความดันเลือดสูง

ที่มา:http://www.sopon.ac.th/sopon/sema_web/secondary5/health_educ/lesson1respiratory/2The%20Human%20Body__blood.htm

หัวใจ

 3.หัวใจ(Heart)

             หัวใจเป็นอวัยวะในระบบหมุนเวียนโลหิตที่มีการเปลี่ยนแปลง มาจากเส้นเลือดในขณะที่ร่างกายอยู่ในช่วงเป็นตัวอ่อน มีหน้าที่ในการบีบส่งเลือด ไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกาย อยู่ระหว่างปอดทั้ง ข้างค่อนไปทางปอดด้านซ้าย มีรูปคล้ายดอกบัวตูม ขนาดเท่ากับกำมือของเจ้าของ หรือกว้าง เซนติเมตร ยาว เซนติเมตร หัวใจจะอยู่ในถุงเยื่อหุ้มหัวใจ (pericardium) มีน้ำเลี้ยง (pericardial fluid) หล่อเลี้ยงอยู่ ผนังของหัวใจมีเนื้อเยื่อ ชั้น คือ ชั้นนอก (epicardium) ชั้นกลาง (myocardium) และชั้นใน (endocardium) เนื้อเยื่อชั้นกลางจะหนามาก มีกล้ามเนื้อ ที่เป็นกล้ามเนื้อพิเศษ เรียกว่า กล้ามเนื้อหัวใจ (cardiac muscle)
ที่มา:http://www.pw.ac.th/bodysystem/cir/page/p2.html

             หัวใจแบ่งออกเป็น ห้อง ได้แก่ บนซ้าย ล่างซ้าย บนขวา และล่างขวา โดยแต่ละหัวใจแต่ละห้องมีหน้าที่ต่างกัน คือ 

    
หัวใจห้องบนขวา ทำหน้าที่ รับเลือดเสียจากหลอดเลือดดำที่ส่งเลือดมาจากร่างกายส่วนบนและส่วนล่าง

    
หัวใจห้องล่างขวา ทำหน้าที่ รับเลือดต่อจากหัวใจห้องบนขวา และส่งเลือดไปยังปอดผ่านลิ้นหัวใจและหลอด เลือดแดง

    
หัวใจห้องบนซ้าย ทำหน้าที่ รับเลือดที่มีออกซิเจนจากปอด ซึ่งส่งมาทางหลอดเลือดดำ และเป็นห้องหัวใจ ที่มีขนาดเล็กที่สุดด้วย เมื่อเทียบกับห้องหัวใจอื่น ๆ

    
หัวใจห้องล่างซ้าย ทำหน้าที่ รับเลือดที่มีสูบฉีดเลือดที่มีออกซิเจนจากหัวใจห้องบนซ้ายและส่งไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เป็นห้องหัวใจที่มีผนังหัวใจหนาที่สุดและมีขนาดใหญ่ที่สุดด้วย 

ที่มา:https://sites.google.com/a/web1.dara.ac.th/sci-m2/2-rabb-hmunweiyn-leuxd/2-3-khorngsrang-swn-prakxb-laea-hnathi




ภาพ5-ลักษณะโครงสร้างภายในของหัวใจ
ที่่มาภาพ:http://www.vcharkarn.com/lesson/1260



         ลิ้นหัวใจ

         ลิ้นหัวใจเป็นแผ่นของกล้ามเนื้อหัวใจ และเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน ที่แข็งแรงที่ยื่นออกมาจากผนังของหัวใจ เพื่อควบคุมทิศทางการไหลของเลือดภายในหัวใจ ให้เป็นไปในทิศทางเดียว โดยอาศัยความแตกต่างของความดันโลหิตแต่ละห้อง ลิ้นหัวใจที่สำคัญได้แก่
             1.ลิ้นหัวใจไตรคัสปิด (Tricuspid valve) มีสามกลีบ (cusps) อยู่ระหว่างหัวใจห้องบนขวาและล่างขวา
             2.ลิ้นไมทรัล (Mitral valve) มีสองกลีบ บางครั้งจึงเรียกว่า ลิ้นหัวใจไบคัสปิด (bicuspid valve) อยู่ระหว่างหัวใจห้องบนซ้ายและล่างซ้าย
             3.ลิ้นหัวใจพัลโมนารีเซมิลูนาร์ (pulmonary semilunar valve) มีสามกลีบ อยู่ระหว่างหัวใจห้องล่างขวาและหลอดเลือดแดงพัลโมนารี
             4.ลิ้นหัวใจเอออร์ติกเซมิลูนาร์ (Aortic semilunar valve) มีสามกลีบ อยู่ระหว่างหัวใจห้องล่างซ้ายและหลอดเลือดแดงใหญ่ ใกล้ๆกับโคนของลิ้นหัวใจนี้จะมีรูเปิดเล็กๆ ซึ่งเป็นทางเข้าของเลือดที่จะเข้าสู่ระบบหลลอดเลือดหัวใจ
ที่มา:http://www.student.chula.ac.th/~56370912/Human%20Heart%204.html



ภาพ6-ลิ้นหัวใจ


ที่มาภาพ:http://www.krusarawut.net/wp/?p=1349

หลอดเลือด

  2.หลอดเลือด(Blood vessel)

                  หลอดเลือดมีอยู่ทุกส่วนของร่างกาย มีหน้าที่นำสารอาหาร และก๊าซออกซิเจนที่ลำเลียงไปกับเลือด เพื่อไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกาย เมื่อไปถึงเซลล์จะมีการแลกเปลี่ยนอาหารและก๊าซต่างๆ ถ้านำหลอดเลือดในร่างกายมาต่อกันจะมีความยาวประมาณ 100,00 ไมล์ 
หลอดเลือดในร่างกายแบ่งออกเป็น 3 ชนิด คือ

                 2.1.หลอดเลือดแดง ( Artery ) 
หลอดเลือดแดง ( Artery ) หมายถึง หลอดเลือดที่นำเลือดออกจากหัวใจ ซึ่งจะเป็นเลือดที่มีปริมาณออกซิเจนสูงเป็นเลือดที่มีสีแดงสด ไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆทั่วร่างกาย ( ยกเว้นหลอดเลือดที่ไปสู่ปอดชื่อ pulmonary artery ซึ่งจะนำเลือดดำจากหัวใจที่มีคาร์บอนไดออกไซด์สูงไปฟอกที่ปอด ) 

      ลักษณะของหลอดเลือดแดง 

      - 
มีผนังหนา โดยจะมีลักษณะเป็นชั้นกล้ามเนื้อที่หนาและยืดหยุ่น ประกอบไปด้วยเนื้อเยื่อ ชั้น คือเนื้อเยื่อด้านในสุดเป็นเนื้อเยื่อบุผิว ชั้นกลางเป็นเนื้อเยื่อกล้ามเนื้อที่สามารถยืดหยุ่นได้ เนื้อเยื่อชั้นนอกเป็นเนื้อเยื่อเกี่ยวพันที่ยืดหยุ่นได้
หลอดเลือดแดงมี ขนาด เรียงจากขนาดใหญ่ไปขนาดเล็ก คือ
      - 
เอออร์ตา ( aorta ) หลอดเลือดแดงขนาดใหญ่สุด ทำหน้าที่ลำเลียงเลือดแดงที่ถูกสูบฉีดออกจากหัวใจห้องล่างซ้ายโค้งไปทางด้านหลัง ทอดผ่านช่องอกและช่องท้อง ขนาดใหญ่สุดมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ นิ้ว
      - 
อาร์เทอรี ( artery ) หลอดเลือดแดง ทำหน้าที่นำเลือดไปเลี้ยวส่วนต่างๆ ของร่างกาย หลอดเลือดมีผนังกล้ามเนื้อหนาเพื่อให้ทนต่อแรงดันเลือด
     - 
อาร์เทอริโอล ( arteriole ) หลอดเลือดแดงเล็ก ซึ่งสามารถจะขยายตัวหรือหดตัวได้ เพื่อบังคับการไหลของเลือด 


                2.2.หลอดเลือดดำ ( Vein 
           หลอดเลือดดำ ( Vein หมายถึง หลอดเลือดที่นำเลือดที่มีของเสีย และคาร์บอนไดออกไซด์ ( เลือดดำ ) ที่ร่างกายใช้แล้วจากส่วนต่างๆ ของร่างกายกลับเข้าสู่หัวใจห้องบนขวา ( Right atrium ) เพื่อนำกลับไปฟอกที่ปอด ( ยกเว้นหลอดเลือดดำปอดที่ชื่อ pulmonary vein ซึ่งจะนำเลือดแดงที่ผ่านการฟอกจากปอดแล้วนำกลับเข้าสู่หัวใจห้องบนซ้าย ) ภายในหลอดเลือดดำจะมีความดันต่ำ ถ้าหลอดเลือดดำฉีกขาด เลือดที่ไหลออกมาจะไหลรินๆคงที่ และสม่ำเสมอ ห้ามเลือดหยุดได้ง่ายกว่าหลอดเลือดแดงฉีกขาด 

ลักษณะของหลลอดเลือดเลือดดำ 

     - 
มีผนังบาง ประกอบด้วยเนื้อเยื่อ ชั้น เช่นเดียวกับหลอดเลือดแดงแต่บางกว่า
     - 
ผนังมีความยืดหยุ่นได้น้อย เพราะมีเนื้อเยื่อกล้ามเนื้อ และเนื้อเยื่อเกี่ยวพันน้อย
     - 
มีลิ้นกั้นไม่ให้เลือดไหลย้อนกลับ 

            2.3. หลอดเลือดฝอย ( Capillary 
             หลอดเลือดฝอย ( Capillary หมายถึง หลอดเลือดที่เชื่อมต่อระหว่างหลอดเลือดแดงขนาดเล็ก ไปยังหลอดเลือดดำขนาดเล็ก โดยจะแทรกอยู่ในเนื้อเยื่อต่างๆ ของร่างกาย เช่น ผิวหนัง กล้ามเนื้อ สมอง และอวัยวะอื่นๆ ยกเว้นเส้นผม และเล็บจะไม่มีหลอดเลือดฝอย

ลักษณะของหลอดเลือดฝอย  


     - 
หลอดเลือดฝอยเป็นหลอดเลือดที่มีขนาดเล็กที่สุดในร่างกายมีทั้งเส้นเลือดแดงฝอย และเส้นเลือดดำฝอย

     - 
มีเนื้อเยื่อบางมาก มีจำนวนมากเพราะเป็นส่วนที่ต้องแยกไปสู่ส่วนต่างๆของร่างกาย มีผนังบาง มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ ไมโครเมตร

     - 
ประกอบด้วยเซลล์เพียงชั้นเดียว มีหน้าที่เป็นแหล่งที่มีการแลกเปลี่ยนก๊าซ และสารต่างๆระหว่างเลือดกับเซลล์ของร่างกายโดยวิธีการแพร่

ที่มา:https://sites.google.com/a/web1.dara.ac.th/sci-m2/2-rabb-hmunweiyn-leuxd/2-3-khorngsrang-swn-prakxb-laea-hnathi



ภาพ4-หลอดเลือด
ที่่มาภาพ:http://www.krusarawut.net/wp/?p=1370



เลือด

1.เลือด (blood)

           เลือด เป็นของเหลวในร่างกายที่อยู่ภายนอกเซลล์  ในร่างกายของคนเรามีเลือดอยู่ประมาณ 6,000 ลูกบาศก์เซนติเมตร ร่างกายของคนเราจะพบของเหลวที่อยู่ภายนอกเซลล์ 37 เปอร์เซ็นต์ โดยเลือดมีหน้าที่สำคัญ 2 ประการ
             -ลำเลียงสารไปยังส่วนต่างๆของร่างกาย
             -ปรับสภาวะสมดุลขของร่างกาย
เลือดประกอบด้วยสองส่วนคือ

               1.1  ส่วนที่เป็นของหลว  คือ น้ำเลือดหรือพลาสมา ประกอบด้วยน้ำและสารต่างๆ ซึ่งได้แก่ สารอาหารที่ถูกย่อยแล้ว รวมทั้งวิตามิน  เกลือแร่ ฮอร์โมนและสารอื่นๆที่ละลายน้ำได้ สารเหล่านี้จึงอยู่ในรูปสารละลาย มีประมาณ 50 % ของเลือดทั้งหมด น้ำเลือดทำหน้าที่ลำเลียงอาหารที่ถูกดูดซึมจากลำไส้เล็กไปสู่ส่วนต่างๆของเซลล์ทั่วร่างกายและลำเลียงของเสียที่เป็นของเหลวจากเซลล์ เช่น ยูเรีย มาสู่ไต ซึ่งไตจะสกัดเอาสารยูเรียออกจากเลือดแล้วขับถ่ายออกมาในรูปของปัสสาวะ

                1.2  ส่วนที่เป็นของแข็ง  มีอยู่ประมาณ 50% ของเลือดทั้งหมด ประกอบด้วย
                        -  เซลล์เม็ดเลือดแดง   ในขณะที่ยังเจริญเติบโตไม่เต็มที่ จะอยู่ในไขกระดูกและมีนิวเคลียส แต่เมื่อเจริญเติบโตเต็มที่จะเข้าไปอยู่ในกระแสเลือดแล้วนิวเคลียสจะหายไป เม็ดเลือดแดงทำหน้าที่ขนส่งแก๊สออกซิเจน จากปอดไปสู่เซลล์ทั่ร่างกายและขนส่งแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งเป็นของเสียที่เกิดจากการสลายอาหารจากเซลล์มาสู่ถุงลมในปอดเพื่อขับถ่ายออกนอกร่างกายทางลมหายใจออก โดยเฉลี่ยเม็ดเลือดแดงจะมีชีวิตอยู่ในกระแสเลือดประมาณ 90- 120 วัน หลังจากนั้นจะถูกส่งไปทำลายที่ตับและม้าม 
                       -  เซลล์เม็ดเลือดขาว  มีขนาดใหญ่กว่าเซลล์เม็ดเลือดแดง ภายในมีนิวเคลียส ทำหน้าที่ทำลายเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมที่เข้าสู่ร่างกาย
                      -  เกล็ดเลือด  เป็นชิ้นส่วนของเซลล์ที่มีรูปร่างเป็นแผ่นเล็กๆปนอยู่ในน้ำเลือด ไม่มีนิวเคลียส มีหน้าที่ช่วยให้เลือดแข็งตัว เวลาเกิดบาดแผลเล็กๆเกล็ดเลือดจะทำให้เส้นใย ( fibrin ) ปกคลุมบาดแผลทำให้เลือดหยุดไหล เป็นการป้องกันไม่ให้ร่างกายเสียเลือดมากเกินไป เกล็ดเลือดจะมีอายุอยู่ได้ประมาณ 4 วัน
ทีมา:http://www.trueplookpanya.com/new/asktrueplookpanya/questiondetail/817




ภาพ2-เซล์เม็ดเลือดแดง
ที่มาภาพ:http://practibiofuentezuelas20144esoa4.blogspot.com/2015/04/la-sangre-1.html



ภาพ3-เซลล์เม็ดเลือดขาว
ที่มา:http://www.vcharkarn.com/vcafe/39253



หน้าที่ของระะบบหมุนเวียนโลหิต



หน้าที่ของระบบไหลเวียนเลือด 

อาจแบ่งได้เป็น ข้อๆ ดังนี้ คือ
        1. ให้อาหาร นำอาหารและสารอื่นๆ ไปเลี้ยงเซลล์ ของร่างกาย
        2. หายใจ นำคาร์บอนไดออกไซด์ไปขับออกทางปอด เพื่อแลกเปลี่ยนออกซิเจนกลับมาใช้
        3. ขับถ่าย นำของเสียซึ่งเกิดจากเมแทบอลิซึม เพื่อ ขับออกภายนอกร่างกาย
        4. การคงปริมาณสารน้ำของร่างกาย ช่วยควบคุมและ รักษาดุลของสารน้ำภายในร่างกาย
        5. การควบคุมอุณหภูมิ รักษาอุณหภูมิของร่างกาย ให้เป็นปกติ
        6. ปรับระดับและป้องกัน เลือดที่ไหลเวียนช่วยนำสาร บางอย่าง ซึ่งมีหน้าที่ควบคุมการทำงานของร่างกายไปยังอวัยวะ ต่างๆ และนำสารบางอย่างที่เป็นตัวช่วยป้องกันร่างกายไปยังที่ ได้รับอันตรายด้วย
        อาจเปรียบเทียบได้ว่าระบบการไหลเวียนเลือดมีการทำงาน เป็นระบบขนส่งซึ่งทำหน้าที่ขนส่งของดีไปเลี้ยงเซลล์ต่างๆ ของ ร่างกาย ขณะเดียวกันก็นำของเสียไปยังอวัยวะที่มีหน้าที่กำจัดทิ้ง 
การไหลเวียน
แบ่งออกได้เป็น 2 ส่วน

        1. วงจรไหลเวียนทั่วกาย (systemic circulation) เลือด ที่ไหลเวียนจะออกจากเวนตริเคิลซ้ายไปสู่ส่วนต่างๆ ของร่างกาย แล้วกลับมาเข้าเอเทรียมขวา วงจรนี้ทำงานกว้างขวางจึงอาจเรียกว่า วงจรใหญ่ (greater circulation)

        2. วงจรไหลเวียนผ่านปอด (pulmonary circulation) เลือดที่ส่งมาเข้าเอเทรียมขวาจะเทลงสู่เวนตริเคิลขวาแล้วส่งไป ยังปอด หลังจากนั้นจะกลับมาเข้าเอเทรียมซ้ายใหม่ การไหลเวียน วงจรนี้ทำงานน้อยกว่า จึงเรียกว่า วงจรเล็ก (lesser circulation)
ที่มา:http://kanchanapisek.or.th/kp6/sub/book/book.php?book=8&chap=2&page=t8-2-infodetail19.html